Skip to content
เว็บไซต์นั้นมีกี่ประเภท แตกต่างกันอย่างไร

เว็บไซต์มีกี่ประเภท แตกต่างกันอย่างไร ไขข้อข้องใจไปกับ ADME

Table of Contents

เว็บไซต์มีกี่ประเภท รูปแบบของเว็บไซต์มีกี่รูปแบบ แบบไหนเหมาะกับการทำธุรกิจ และตอบโจทย์การใช้งานของกลุ่มเป้าหมาย วันนี้เราจะพาทุกคนมาร่วมหาคำตอบว่าเว็บไซต์แบ่งออกเป็นกี่ประเภท แต่ละประเภทมีรูปแบบการใช้งานอย่างไรให้เหมาะสม พร้อมแนะนำ 2 วิธีการทำการตลาดออนไลน์สุดฮิตอย่างการทำ SEO และการทำ SEM เพื่อให้ทุกคนสามารถนำไปปรับใช้ในการทำธุรกิจได้ในอนาคต

9 ประเภทของเว็บไซต์ เว็บไซต์แบ่งออกเป็นกี่ประเภท ADME ขอพาไปดู!

หากถามว่าเว็บไซต์มีกี่ประเภทและประเภทของเว็บไซต์มีกี่ประเภท คำตอบคือเว็บไซต์มีทั้งหมด 9 ประเภทด้วยกัน และแต่ละประเภทก็มีรูปแบบการใช้งานที่แตกต่างกัน เรียกได้ว่าหากเลือกใช้ได้อย่างเหมาะสม จะทำให้ธุรกิจของคุณเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและผู้คนในโลก Internet ได้มากยิ่งขึ้นได้อย่างแน่นอน

ซึ่ง 9 ประเภทของเว็บไซต์นั้น มีดังนี้ 

  1. Personal Website
  2. E-Commerce Website
  3. Business Website
  4. Blog Website
  5. Portfolio Website
  6. Membership Website
  7. Non-profit Website
  8. Information Website
  9. Online Forum Website

     

และนอกจากเราจะพามาดูแล้วว่าเว็บไซต์มีกี่ประเภท เนื่องจากหลายคนยังสงสัยว่าเว็บไซต์ในแต่ละประเภทนี้แตกต่างกันอย่างไรและแท้จริงแล้วรูปแบบของเว็บไซต์มีกี่รูปแบบ ในส่วนนี้เราจะมาเปรียบเทียบรูปแบบของเว็บไซต์แต่ละประเภทให้ทุกคนได้รู้ไปพร้อม ๆ กัน

เว็บไซต์มีกี่ประเภท

รูปแบบของเว็บไซต์

1. Personal Website

  • เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคล 
  • ใส่ทั้งข้อมูลส่วนตัว ผลงาน รวมไปถึงบันทึกเรื่องราวและประสบการณ์ต่าง ๆ ของเจ้าของเว็บไซต์

2. E-Commerce Website

  • เป็นเว็บไซต์สำหรับซื้อ-ขายสินค้าโดยเฉพาะ
  • เน้นการให้ข้อมูลของสินค้า และรายละเอียดของสินค้า 
  • ลูกค้าหรือผู้ใช้งานต้องสามารถสั่งซื้อและชำระเงินได้โดยตรงผ่านเว็บไซต์นั้น ๆ 

3. Business Website

  • ถ้าถามว่าเว็บไซต์มีกี่ประเภท แบบไหนเหมาะสำหรับทำธุรกิจ Business Website คือคำตอบ
  • เป็นเว็บไซต์สำหรับธุรกิจโดยเฉพาะ
  • เน้นการทำให้ผู้ใช้งานรู้จักกับธุรกิจ รวมถึงสินค้าและบริการมากยิ่งขึ้น 
  • มีการประชาสัมพันธ์ธุรกิจ นำเสนอข้อมูลต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลของสินค้า บริการ รวมไปจนถึงข้อมูลประวัติของธุรกิจ 
  • อาจมีการเชื่อมโยงไปยังหน้าของสินค้าและนำมาสู่การปิดการขายในอนาคต

4. Blog Website

  • เป็นเว็บไซต์ที่ใช้สำหรับการนำเสนอบทความต่าง ๆ ทั้งข่าวสาร ความรู้ หรือการอัปเดตเทรนด์ 
  • มีเป้าหมายเพื่อให้ผู้ใช้งานได้เข้ามาติดตามเนื้อหาอยู่เสมอ

5. Portfolio Website

  • เป็นเว็บไซต์ที่ใช้ในการสร้างและสะสมผลงานของผู้ใช้งานโดยเฉพาะ 
  • เปิดให้ผู้ใช้งานได้มาสร้างและลง Portfolio เก็บไว้ เพื่อเป็นประโยชน์ในการนำมาใช้สมัครงานหรือเพื่อประโยชน์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

6. Membership Website

  • เป็นเว็บไซต์สำหรับสมาชิกโดยเฉพาะ 
  • ผู้ที่เป็นสมาชิกเท่านั้นถึงจะเข้าไปใช้งานได้ หรือก็คือผู้ใช้งานจะต้องสมัครสมาชิกตามเงื่อนไขต่าง ๆ ก่อน ถึงจะสามารถเข้าใช้ Membership Website เหล่านี้ได้นั่นเอง

7. Non-profit Website

  • เป็นเว็บไซต์ที่ไม่แสวงผลกำไร
  • เป้าหมายของเว็บไซต์นั้นจะเป็นการช่วยเหลือสังคมหรือผู้อื่น 
  • จะต้องไม่ใช่การทำธุรกิจหรือการทำเว็บไซต์เพื่อผลประโยชน์ 
  • โดยส่วนมากจะเป็นเว็บไซต์ของมูลนิธิ สมาคม และหน่วยงานต่าง ๆ ที่ไม่แสวงหาผลกำไร เช่น หน่วยงานปกป้องสิทธิมนุษยชน เป็นต้น

8. Information Website

  • เป็นเว็บไซต์ที่ใช้ให้ข้อมูลความรู้โดยเฉพาะ 
  • จะมีการให้ข้อมูลตามการค้นหาของผู้ใช้งานอย่างเจาะจง เช่น  Wikipedia 

9. Online Forum Website

  • เป็นเว็บไซต์ที่ใช้สำหรับการพูดคุยกัน 
  • เปิดให้ผู้ใช้งานได้มามีปฏิสัมพันธ์กันบนเว็บไซต์ผ่านความสนใจที่แตกต่างกันไปในแต่ละกลุ่ม หรือก็คือการเป็นชุมชนออนไลน์นั่นเอง เช่น Pantip, Dek-d


อ่านถึงตรงนี้ทุกคนก็คงจะรู้แล้วว่า
ประเภทของเว็บไซต์มีกี่ประเภทและรูปแบบของเว็บไซต์มีกี่รูปแบบ เพื่อให้สามารถออกแบบเว็บไซต์ให้เหมาะกับการทำธุรกิจของตัวเองกันได้แล้ว!

ข้อดีของการที่ “ธุรกิจมีเว็บไซต์”

เมื่อรู้กันแล้วว่าเว็บไซต์แบ่งออกเป็นกี่ประเภทกันไปแล้ว เราขอพาทุกคนมารู้ถึงข้อดีของการมีเว็บไซต์สำหรับธุรกิจ ซึ่งมีดังนี้

  • ทำให้ธุรกิจถูกค้นพบและค้นเจอได้ง่ายขึ้น ทำให้เป็นที่รู้จักได้ง่ายยิ่งขึ้น 
  • ช่วยเพิ่มโอกาสทางการขายให้กับธุรกิจ 
  • ทำให้ธุรกิจมีความน่าเชื่อถือ  
  • ทำให้กลุ่มเป้าหมายเข้าใจในเป้าหมายการทำธุรกิจได้มากยิ่งขึ้น
  • เพิ่มช่องทางในการสื่อสารข้อมูลระหว่างธุรกิจกับกลุ่มเป้าหมาย 
  • เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่สามารถใช้ในการปิดการขายได้
  • เป็นส่วนช่วยให้ธุรกิจเติบโตอยู่เหนือคู่แข่ง
  • เป็นช่องทางในการทำการตลาดออนไลน์เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ตลอด 24 ชั่วโมง

SEM & SEO สุดยอดการทำการตลาดออนไลน์สำหรับ Website

นอกจากเราจะมาไขข้อข้องใจว่าเว็บไซต์มีกี่ประเภท และประเภทของเว็บไซต์มีกี่ประเภท เราจะมาแนะนำ 2 การทำการตลาดออนไลน์สำหรับ Website เพื่อให้เว็บไซต์ของธุรกิจมีประสิทธิภาพและมีความสามารถในการเข้าถึงผู้ใช้งานได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งก็คือการทำ SEM หรือ Search Engine Marketing และ การทำ SEO หรือ Search engine optimization นั่นเอง

SEM หรือ Search Engine Marketing คือการทำการตลาดออนไลน์ Search Advertising  แบบ Paid Search โดยเป็นการซื้อพื้นที่โฆษณาของ Search Engine เช่น การทำ Google Ads ใน Google เพื่อให้เว็บไซต์ขึ้นไปแสดงผลอยู่ในหน้าค้นหาหากมีผู้ใช้งานค้นหา keyword หรือคำที่เราได้ทำการซื้อพื้นที่โฆษณาไว้ ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายในรูปแบบ “PPC (Pay Per Click)” หรือก็คือคิดค่าใช้จ่ายเป็นรายคลิก ที่ผู้ที่ทำ SEM จะต้องเสียค่าใช้จ่ายตามจำนวนครั้งที่ผู้ใช้งานคลิกโฆษณาเพื่อเข้าชมเว็บไซต์

SEO หรือ Search engine optimization คือการทำการตลาดออนไลน์ในระบบ Search Engine เช่นเดียวกับ SEM แต่จะเป็นการทำการตลาดออนไลน์โดยการปรับปรุงเว็บไซต์ด้วยเทคนิคต่าง ๆ เพื่อให้เว็บไซต์ขึ้นไปติดอันดับบนหน้าแสดงผลการค้นหาของ Search Engine อย่าง Google แบบ Organic Search โดยไม่เป็นการซื้อโฆษณา และไม่เสียเงินค่าโฆษณาแต่อย่างใด

โดยการทำ SEO หรือ Search engine optimization นั้นจะเป็นการปรับแต่งให้เว็บไซต์เป็นไปตามหลักการของ Google เพื่อให้ Google เลือกเว็บไซต์ของธุรกิจให้ไปปรากฏอยู่ในหน้าแรกและอันดับต้น ๆ บนหน้าแสดงผลการค้นหาที่จะช่วยลดต้นทุนในระยะยาวได้เป็นอย่างดี ซึ่งสิ่งที่ต้องคำนึงถึงในการทำ SEO ได้แก่

✔ ปรับปรุงคุณภาพของเว็บไซต์ ตามหลักเกณฑ์ของ Google และ Core Web Vitals

✔ สร้างสรรค์ Content ที่เหมาะสม และมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับ Keywords

✔ จัดการกับ Keywords อย่างมีคุณภาพ ทั้งการจัดวาง และจำนวนที่เลือกใช้

✔ ดูแลและปรับปรุงการเชื่อมโยงภายในเว็บไซต์ 

✔ จัดการกับการเชื่อมโยง Links ต่างๆ และสร้าง Backlinks จากเว็บไซต์ภายนอก 

✔ ดูแลและอัปเดตข้อมูลภายในเว็บไซต์อยู่เสมอ อย่างต่อเนื่อง

เมื่อรู้แล้วว่าเว็บไซต์มีกี่ประเภทและตอบคำถามที่ว่าเว็บไซต์แบ่งออกเป็นกี่ประเภทกันไปแล้ว เราขอแนะนำให้ธุรกิจที่ต้องการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายผ่านการทำเว็บไซต์ วางแผนดำเนินการทำ SEM และ SEO ควบคู่กันไป เพื่อส่งเสริมการขาย และทำให้เว็บไซต์ของธุรกิจเป็นเว็บไซต์ที่มีคุณภาพ น่าเชื่อถือไปพร้อม ๆ กัน เนื่องจากการทำ SEM และ SEO นั้นก็มีจุดเด่นที่แตกต่างต่างกัน ดังนี้

SEM

SEO

เป็นโฆษณา Google แบบ Paid Search

เป็นโฆษณา Google แบบ Organic Search

มีค่าใช้จ่ายในการโฆษณาแบบ PPC (Pay Per Click)

ไม่เสียค่าใช้จ่ายในการทำโฆษณา

เป็นกลยุทธ์การทำโฆษณาระยะสั้น เว็บไซต์ติดอันดับอย่างรวดเร็วและแน่นอน

เป็นกลยุทธ์การทำโฆษณาระยะยาว พัฒนาเว็บไซต์ให้ติดอันดับอย่างยั่งยืน

ติดอันดับได้แม้เว็บไซต์ไม่มีคุณภาพ

ต้องพัฒนาเว็บไซต์ให้มีคุณภาพถึงจะติดอันดับ

สร้างโฆษณา ปรับแต่งข้อความได้อย่างไม่จำกัด

ปรับแต่งข้อความได้ 1 รูปแบบต่อ 1 หน้าเว็บ

สิ่งที่ต้องคำนึงถึงในการออกแบบเว็บไซต์

นอกจากการทำ SEM และ SEO แล้ว เพื่อให้เว็บไซต์เป็นเว็บไซต์ที่มีคุณภาพ ตอบโจทย์การใช้งานของกลุ่มเป้าหมาย เมื่อเรารู้แล้วว่ารูปแบบของเว็บไซต์มีกี่รูปแบบและเลือกใช้ประเภทของเว็บไซต์ที่เหมาะสมกับการทำธุรกิจแล้ว เราขอแนะนำให้ออกแบบเว็บไซต์โดยคำนึงถึงสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้

  • ออกแบบให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ของเว็บไซต์และผู้ใช้งาน 
  • สื่อสารข้อมูลต่าง ๆ อย่างชัดเจน แบ่งประเภทข้อมูล แยกแยะหัวข้อ และจัดระเบียบเนื้อหาให้เหมาะสม เข้าใจง่าย
  • ใช้ตัวอักษรที่อ่านง่าย ไม่ซับซ้อน มีขนาด และสีของตัวอักษรที่เหมาะสม
  • สีของเว็บไซต์ต้องเหมาะสมกับรูปแบบของธุรกิจ มีความสมดุล และไม่ทำให้อ่านยาก 
  • เลือกใช้รูปภาพที่สวยงาม เพื่อดึงดูดและช่วยสื่อสารให้ผู้ใช้งานเข้าใจในข้อมูลต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น
  • ออกแบบเว็บไซต์ให้ตอบสนองต่อการใช้งานในทุกอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นในคอมพิวเตอร์ Laptop สมาร์ตโฟน หรืออุปกรณ์เคลื่อนที่อื่น ๆ
  • ออกแบบเว็บไซต์ให้ผู้ใช้งานไม่สับสน เข้าใจง่าย มีการบอกทางหรือระบบ Navigation ที่เรียบง่าย เชื่อมโยงผู้ใช้งานไปยังหน้าต่าง ๆ ของเว็บไซต์ได้อย่างไม่สับสน


นอกจากนี้ เพื่อให้เว็บไซต์มีคุณภาพและตอบโจทย์ทาง Google เราจะต้องคำนึงถึง Core Web Vitals ทั้งในเรื่องความเร็วในการดาวน์โหลดเว็บไซต์และคอนเทนต์ , การตอบสนองของเว็บไซต์ และความเสถียรของเว็บไซต์อีกด้วย

จากบทความนี้ทุกคนก็คงจะรู้จักกับการทำเว็บไซต์กันมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์มีกี่ประเภท รูปแบบของเว็บไซต์มีกี่รูปแบบ แบบไหนเหมาะกับการทำธุรกิจ และการทำการตลาดออนไลน์สำหรับ Website เพื่อให้เว็บไซต์ของธุรกิจมีประสิทธิภาพและมีความสามารถในการเข้าถึงผู้ใช้งานได้มากยิ่งขึ้น หากอยากรู้เรื่องราวดี ๆ เพื่อความสำเร็จของธุรกิจ
นอกจาก ADME จะมาตอบคำถามที่ว่า
ประเภทของเว็บไซต์มีกี่ประเภทแล้ว เรายังมีบทความดี ๆ เกี่ยวกับ HTTPS คืออะไร? ทำไมคนที่ทำเว็บไซต์หรือรับจ้างทำเว็บไซต์ต้องรู้
มาแบ่งปันให้ทุกคนได้รู้ รอติดตามกันได้เลย!